ดูดไขมันปั้นหุ่นสวยในฝันที่ใช่พร้อมกำจัดไขมันส่วนเกินลดไขมันเฉพาะจุดที่ Princess Wellness Clinic ตัวแม่ของวงการดูดไขมัน
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องรูปร่างและไขมันส่วนเกิน ที่ไม่ว่าจะออกกำลังกายหรือคุมอาหารอย่างไร ก็ยังไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้เสียที ก็สามารถใช้วิธีการกำจัดด้วยวิธีการดูดไขมันออกได้ ที่ Princess Wellness Clinic มีวิธีดูดไขมันด้วยเทคนิคที่ลดโอกาสเกิดแผลเป็นและรอยดำ ไม่ทำให้เนื้อเยื่อข้างเคียง โดยเฉพาะเส้นเลือดและเซลล์ประสาทบริเวณรอบ ๆ เกิดความเสียหาย ช่วยลดอาการบวมช้ำ ได้ผลลัพธ์ที่เร็วและเห็นผลชัด ฟื้นตัวเร็วกว่าการกำจัดไขมันแบบทั่วไป และมีความห่างไกลจากความเสี่ยงสูงทำให้ร่างกายของคุณมีสัดส่วนที่สวยงามชัดเจนมากขึ้น โดยไม่มีปัญหาผิวไม่เรียบตามมา การศัลยกรรมดูดไขมันอาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมนักหากคุณต้องการลดน้ำหนักโดยรวมทั้งร่างกาย แต่เหมาะสำหรับผู้ที่มี ไขมันเฉพาะจุดที่ยากจะกำจัดออก เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน เป็นต้น
ดูดไขมัน (Liposuction) คืออะไร?
ดูดไขมัน( Liposuction )เป็นการศัลยกรรมเพื่อลดไขมันเฉพาะจุด
ดูดไขมัน( Liposuction )เป็นการศัลยกรรมเพื่อลดไขมันเฉพาะจุด ที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกาย โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือเฉพาะทางดูดไขมันส่วนเกิน ที่สะสมอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณ ต้นขา สะโพก หน้าท้อง ต้นแขน ใบหน้า คอ หรือส่วนอื่น ๆ ที่คุณต้องการออกไปจะทำให้รูปร่างของคุณดูเรียวเล็กลง มีสัดส่วนที่สวยงาม และเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณมากขึ้น การดูดไขมันไม่ใช่วิธีหลักในการแก้ปัญหาของผู้ที่เป็นโรคอ้วน แต่เป็นการทำศัลยกรรมเพื่อช่วยปรับรูปร่าง ทำให้สัดส่วนกระชับสวยได้รูป และมีส่วนเว้าส่วนโค้งตามต้องการ
การศัลยกรรมดูดไขมันเป็นวิธีการหนึ่งที่สามารถช่วยให้มีรูปร่างที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา สะโพก หรือแขน โดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดใหญ่ แต่สามารถลดไขมันเฉพาะจุดได้
หลักการทำงานของการดูดไขมัน
การดูดไขมันคือ หัตถการที่ใช้หลักการกำจัดไขมันเฉพาะจุดออกจากร่างกาย โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “แคนนูล่า” (Cannula) หรือท่อขนาดเล็กที่ถูกออกแบบมาให้สามารถเจาะเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังได้อย่างปลอดภัย แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการให้ยาชาเฉพาะจุด หรือในบางกรณีอาจใช้วิธีวางยาสลบเพื่อความสบายใจของผู้เข้ารับบริการ จากนั้นจะทำการสอดแคนนูล่าเข้าสู่ตำแหน่งที่มีไขมันสะสม โดยปลายท่อจะเชื่อมต่อกับเครื่องดูดสุญญากาศ ซึ่งทำหน้าที่ดูดเซลล์ไขมันออกจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง หัตถการนี้ช่วยลดปริมาณไขมันในบริเวณที่ต้องการ ปรับสัดส่วนให้สมส่วนยิ่งขึ้น และส่งเสริมความมั่นใจในรูปร่างโดยไม่ต้องลดน้ำหนักทั้งตัว
ดูดไขมันเฉพาะจุดส่วนไหนได้บ้าง?
- ดูดไขมันหน้าท้อง (หน้าท้องบน–ล่าง, เอวเอส, Love Handles)
- ดูดไขมันเหนียง / ใต้คาง (Double Chin)
- ดูดไขมันต้นแขน (Upper Arms)
- ดูดไขมันต้นขา (ด้านใน–นอก–หลังต้นขา)
- ดูดไขมันหน้า / แก้ม (Buccal Fat / Mid Cheeks)
- ดูดไขมันสะโพก / ปีกสะโพก (Hips / Flanks)
จุดเสริมอื่นๆที่สามารถดูดไขมันได้
- ดูดไขมันแผ่นหลัง (Upper / Lower Back, Bra Line)
- ดูดไขมันหน้าอกผู้ชาย (Gynecomastia)
- ดูดไขมันเอวด้านหลัง (Flank Fat / Muffin Top)
- ดูดไขมันขอบกางเกงใน / ปีกกางเกงใน (Panty Line Bulge)
- ดูดไขมันบั้นท้ายล่าง / ร่องก้น (Banana Roll)
- ดูดไขมันน่อง (Calves)
- ดูดไขมันหัวเข่า (Knees – Inner or Over-the-Knee Fat)
- ดูดไขมันข้อเท้า / ข้อพับขา (บางเคส)
- ดูดไขมันหลังรักแร้ (Axillary Fat / Armpit Bulge)

ดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง?
ดูดไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด และต้องการปรับรูปร่าง โดยไม่เน้นการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เหมาะกับการดูดไขมัน จึงควรอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักมาตรฐาน และมีสุขภาพแข็งแรง การดูดไขมันช่วยปรับสัดส่วนให้ชัดเจน โดยกำจัดไขมันในจุดที่ต้องการ เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และใต้คาง
- ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะบริเวณ
- ไขมันจากพันธุกรรม
- BMI ในเกณฑ์ปกติ
- สุขภาพแข็งแรง
ผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะบริเวณที่ไม่ลดลงแม้จะออกกำลังกายและควบคุมอาหารแล้ว เช่น หน้าท้อง สะโพก ต้นขา แขน หลัง หรือใต้คาง การดูดไขมันจะช่วยกำจัดไขมันเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างสัดส่วนร่างกายที่ดีขึ้น
รูปร่างแบบใด? ที่เหมาะกับการดูดไขมัน
แม้การดูดไขมันจะไม่ใช่การลดน้ำหนัก แต่เป็นวิธีที่ช่วยปรับรูปร่าง และ ลดไขมันเฉพาะจุด ได้อย่างเห็นผล ดังนั้นเรามาดูกันว่า รูปร่างแบบใด ที่เหมาะกับการดูดไขมันบ้าง
1. มีไขมันสะสมเฉพาะจุด
เช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก เหนียง ต้นแขน หรือขา ซึ่งมักลดยากแม้จะควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การดูดไขมันจึงช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินเหล่านี้ได้อย่างตรงจุด
2. มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
การดูดไขมันเหมาะกับบุคคลที่มีสุขภาพโดยรวมดี ไม่มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการทำหัตถการ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง หากมีโรคประจำตัว สามารถเข้ารับการปรึกษาและประเมินความปลอดภัยกับแพทย์ได้ก่อนล่วงหน้า
3. ผิวยืดหยุ่นดี
ผู้ที่มีผิวยืดหยุ่นจะได้ผลลัพธ์ที่ดีหลังดูดไขมัน เพราะผิวสามารถกระชับเข้ารูปร่างใหม่ได้ง่าย สำหรับผู้ที่มีผิวยืดหยุ่นน้อย อาจแนะนำให้ทำร่วมกับเทคโนโลยียกกระชับ เช่นเครื่อง BodyTite เพื่อให้ผิวเรียบเนียนและแนบตัวมากขึ้นหลังทำ
4. น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
การดูดไขมันเหมาะกับผู้ที่น้ำหนักปกติ แต่มีไขมันเฉพาะจุดที่ต้องการปรับรูปร่างให้ชัดเจนมากขึ้น (BMI ไม่ควรเกิน 25) กรณีที่น้ำหนักเกินหรือ BMI สูง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนลดน้ำหนักร่วมกับการดูแลรูปร่างอย่างปลอดภัย
การดูดไขมัน ไม่ใช่การลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน และ ไม่สามารถแทนที่การควบคุมอาหารหรือการออกกำลังกายได้ทั้งหมด แต่เป็นวิธีที่ช่วยจัดการไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด และปรับรูปร่างให้สมส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ

ดูดไขมัน ไม่เหมาะกับใคร?
แม้การดูดไขมันจะช่วยปรับรูปร่างและลดไขมันเฉพาะจุดได้ดี แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังไม่เหมาะสมหรือควรหลีกเลี่ยงการทำหัตถการ ได้แก่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเสี่ยงสูง เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะเลือดออกง่าย หรือโรคที่กระทบต่อการฟื้นตัว
- สตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรรอจนกว่าร่างกายฟื้นตัวและฮอร์โมนกลับสู่ภาวะปกติจึงค่อยเข้ารับการดูดไขมัน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ระหว่างการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่อยู่ในกระบวนการรักษา แพทย์จะต้องประเมินความปลอดภัยก่อน หากสามารถทำได้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการใช้อุปกรณ์เฉพาะบุคคลเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
หากมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาทั้งแพทย์ประจำตัวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมันก่อนเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงและเลือกวิธีการที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
1.ดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Conventional Liposuction)
การดูดไขมันแบบดั้งเดิม เป็นวิธีพื้นฐานที่ใช้แรงดูดจากเครื่องมือ เพื่อกำจัดไขมันออกโดยตรง ข้อดี คือ ลดปริมาณไขมันได้จริง แต่ก็ยังมีข้อจำกัด คือ อาจมีรอยช้ำมาก ผิวไม่กระชับ และเสี่ยงต่อการเกิดผิวหย่อนหรือเป็นคลื่น โดยเฉพาะในจุดที่ผิวมีความยืดหยุ่นน้อย
2. ดูดไขมันด้วยเทคโนโลยี (Energy-Assisted Liposuction)
ดูดไขมัน โดยการใช้พลังงานจากเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เลเซอร์ คลื่นเสียง (Ultrasound) หรือพลังงาน RF เพื่อช่วยสลายไขมันก่อนดูดออก ข้อดี คือ ลดการบอบช้ำ ฟื้นตัวเร็ว และแพทย์สามารถควบคุมรูปร่างได้แม่นยำมากขึ้น
3. ดูดไขมันแบบกระชับผิว (Skin-Tightening Liposuction)
ดูดไขมันแบบกระชับผิว เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาผิวหย่อนคล้อยหลังดูดไขมัน เช่น BodyTite ซึ่งใช้พลังงาน RF ในการละลายไขมัน พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ข้อดี คือ ได้ทั้งการลดไขมันและช่วยให้ผิวเรียบตึง กระชับขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดยกกระชับ
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่า วิธีดูดไขมันมีหลายแบบ แต่ละแบบเหมาะกับผู้เข้ารับบริการต่างกัน หากต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับสรีระและสภาพผิวของคุณ


ช่วยเพิ่มความมั่นใจ
สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเฉพาะจุด การดูดไขมันจะช่วยลดปัญหาดังกล่าว เพิ่มความมั่นใจในการแต่งกายและการใช้ชีวิตประจำวัน
- ช่วยลดไขมันส่วนเกินที่กำจัดได้ยาก
สำหรับบางคน ไขมันบางจุดลดได้ยากแม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกาย การดูดไขมันช่วยกำจัดไขมันเหล่านี้ได้ตรงจุด
- ใช้ไขมันเติมเต็มส่วนอื่นของร่างกายได้
ไขมันที่ดูดออกสามารถนำไปเติมเต็มส่วนอื่น เช่น หน้าอกหรือสะโพก เพื่อเพิ่มวอลลุ่มได้
- เทคโนโลยีทันสมัยช่วยลดการพักฟื้น
เทคนิคการดูดไขมันแบบใหม่ เช่น 4DX Layers ทำให้เจ็บน้อยลงและฟื้นตัวเร็วกว่าแบบดั้งเดิม
ข้อควรรู้ก่อนเข้ารับโปรแกรมดูดไขมัน
ก่อนตัดสินใจ ดูดไขมัน ควรทำความเข้าใจทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและตรงตามความคาดหวัง โดยมีสิ่งสำคัญดังต่อไปนี้
1. ต้องดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด
หลังการดูดไขมัน จำเป็นต้องใส่ชุดกระชับสัดส่วน หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงทำให้แผลอักเสบ และใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกว่าแผลจะหายสนิท
2. ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
การดูดไขมันโดยเฉพาะเทคนิคที่ทันสมัยอาจมีค่าใช้จ่ายสูง และในบางกรณีอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น การฉีดไขมันเพื่อเติมเต็มในตำแหน่งที่ต้องการ
3. การดูดไขมันไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก
การดูดไขมันเป็นการ ปรับสัดส่วนและลดไขมันเฉพาะจุด ไม่ใช่วิธีลดน้ำหนัก หากต้องการลดน้ำหนักอย่างยั่งยืน ควรควบคุมอาหารและออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย
4. ผลลัพธ์ไม่ถาวรหากไม่ดูแลตัวเอง
แม้ดูดไขมันแล้ว หากไม่มีการควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ไขมันก็สามารถกลับมาสะสมได้อีกในอนาคต
การดูดไขมัน ช่วยปรับรูปร่าง เพิ่มความมั่นใจ และจัดการไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดได้ดี แต่ก็มาพร้อมกับข้อจำกัดด้านการฟื้นตัว ค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงที่ควรพิจารณา ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมของหัตถการ และวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด


เตรียมตัวอย่างไร? ก่อนดูดไขมัน
การเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และทำให้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยให้กระบวนการเป็นไปอย่างปลอดภัยและได้ผลดี
- ปรึกษาแพทย์อย่างละเอียด
ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินสุขภาพและตำแหน่งที่จะดูดไขมัน พร้อมแจ้งโรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ หรืออาหารเสริม เพื่อให้แพทย์วางแผนได้อย่างเหมาะสม
- ตรวจสุขภาพและงดอาหารก่อนผ่าตัด
ควรตรวจเลือดและเตรียมร่างกายให้พร้อม โดยงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงก่อนทำหัตถการ โดยเฉพาะหากต้องวางยาสลบ
- งดยาและอาหารเสริมบางชนิด
หยุดใช้ยาแอสไพริน ยาแก้อักเสบ วิตามินอี หรือผลิตภัณฑ์เสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ล่วงหน้า 1–2 สัปดาห์
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์
ควรงดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการดูดไขมัน เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- เตรียมชุดกระชับและพื้นที่พักฟื้น
การใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมันมีส่วนช่วยลดบวมและทำให้ผิวเข้ารูปได้ดีขึ้น ควรเตรียมชุดและพื้นที่สำหรับการพักฟื้นให้พร้อมก่อนวันทำหัตถการ

ดูแลตัวเองอย่างไร? หลังดูดไขมัน
ข้อแนะนำหลังดูดไขมัน | รายละเอียด |
| สวมชุดกระชับตามคำแนะนำแพทย์ | ควรใส่ชุดกระชับ 4-6 สัปดาห์ โดยในช่วงแรกใส่ตลอดเวลา (ยกเว้นตอนทำความสะอาด) เพื่อช่วยลดบวมและให้ผิวกระชับเข้ารูป |
| หลีกเลี่ยงการยกของหนักและออกกำลังกายหนัก | อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์หลังทำ เพื่อป้องกันไม่ให้แผลบวม หรือแผลฉีก ควรรอให้แผลหายดีก่อนกลับไปทำกิจกรรมปกติ |
| รับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ | ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดต้องรับประทานตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และไม่ปรับปริมาณยาเอง |
| นอนในท่าที่เหมาะสม | ควรนอนยกศีรษะสูงในช่วง 1-2 วันแรก เพื่อลดอาการบวม และหลีกเลี่ยงการนอนทับบริเวณที่ดูดไขมัน |
| รักษาความสะอาดแผล | ทำความสะอาดแผลอย่างระมัดระวังด้วยผ้าสะอาดตามคำแนะนำ หลีกเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์และสารเคมีที่เข้มข้น |
| ดื่มน้ำมากและทานอาหารที่มีประโยชน์ | ดื่มน้ำช่วยขับของเสีย ควรทานอาหารที่มีโปรตีนและวิตามินสูง เช่น ผัก ผลไม้ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น |
| หลีกเลี่ยงแสงแดด | บริเวณที่ทำจะไวต่อแสงแดด จึงควรสวมเสื้อผ้าปกปิดเพื่อป้องกันรอยด่างดำ |
| ติดตามอาการและพบแพทย์ตามนัด | ควรพบแพทย์ตามกำหนดเพื่อตรวจสอบผลการรักษา หากพบอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดงหรือปวด ควรแจ้งแพทย์ทันที |
| ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังดูดไขมัน | ระยะเวลาในการพักฟื้นหลังดูดไขมัน ประมาณ 1-2 สัปดาห์ แนะนำให้ใส่ชุดกระชับตลอดเป็นเวลา 3 วัน |
เทคนิคดูดไขมัน ที่ Princess Wellness Clinic
เทคนิคการดูดไขมัน และการยกกระชับผิวในปัจจุบัน ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยและปลอดภัยมากขึ้น ส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ทั้งในด้านการลดไขมันส่วนเกินและการทำให้ผิวเรียบตึงกระชับ หนึ่งในเทคนิคยอดนิยมที่เลือกใช้ คือ 4DX Layers ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ช่วยทั้งสลายไขมันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในเวลาเดียวกัน ทำให้ผิวเข้ารูป ดูเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรูปร่างกระชับได้สัดส่วน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผิวหย่อนคล้อยหลังการดูดไขมัน 4DX Layers เป็น การดูดไขมัน ที่ผสาน 3 เทคโนโลยีเข้าด้วยกันพร้อมยกกระชับผิว โดยมีสามขั้นตอนหลัก ดังนี้
- BodiTite เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency Technology)
พลังงานคลื่นวิทยุช่วยกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวเรียบเนียน และลดโอกาสการหย่อนคล้อยหลังดูดไขมัน
- PowerTite ระบบดูดไขมันด้วยพลังงานกล (Power Assisted Liposuction)
ระบบพลังงานกลใช้การสั่นสะเทือนช่วยแยกเซลล์ไขมันจากเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้การดูดไขมันแม่นยำ ลดอาการบวม และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- DermaTite เทคโนโลยีกระชับผิวหย่อน
ช่วยให้หลังดูดไขมันมั่นใจมากขึ้น ผิวไม่ย้วยเนื่องจากสัดส่วนร่างกายลดเร็วเกินไป
ข้อดีของ4DX Layers
- ลดการบอบช้ำ ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเทคนิคเดิม
- กระชับผิวได้ดี ลดความเสี่ยงของผิวหย่อนคล้อย
- เหมาะกับการดูดไขมันหลายจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา และสะโพก
เปรียบเทียบเทคโนโลยีดูดไขมันมีคุณสมบัติต่างกันอย่างไร
ดูดไขมันด้วย MicroAire PAL (Power-Assisted Liposuction)
เป็นเทคโนโลยีการดูดไขมันที่ใช้ระบบสั่นสะเทือนเพื่อสลายเซลล์ไขมัน ทำให้แพทย์ไม่ต้องออกแรงมาก ทำให้เนื้อเยื่อบอบช้ำน้อย และฟื้นตัวไวกว่าแบบดั้งเดิม สามารถดูดไขมันออกได้อย่างนุ่มนวลและมีประสิทธิภาพ ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง
จุดเด่นของการดูดไขมันด้วย MicroAire PAL
- หัวดูด สั่นได้สูงถึง 4,000 ครั้งต่อนาที ช่วยให้ไขมันหลุดออกจากเนื้อเยื่อได้ง่าย
- ทำให้แพทย์ ควบคุมทิศทางได้ดีขึ้น
- เหมาะกับการดูดไขมันปริมาณเยอะ หรือในจุดที่ไขมันแน่น เช่น หน้าท้อง หลัง ต้นขา หรือหน้าอกผู้ชาย
MicroAire PAL เหมาะกับใคร?
- คนที่ต้องการดูดไขมันบริเวณใหญ่ๆ เช่น หน้าท้อง ต้นขา แขน
- คนที่ต้องการ เก็บไขมันไปเติม เช่น เติมหน้า หรือก้น (BBL)
- คนที่เคยดูดไขมันมาแล้วแต่ยังไม่เรียบ PAL ช่วยเก็บรายละเอียดได้ดี
ข้อดีของการดูดไขมันด้วย MicroAire PAL
- ทำเร็วขึ้น เจ็บน้อย ฟกช้ำน้อย
- ผลลัพธ์เรียบสม่ำเสมอ
- ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นได้ เช่น VASER หรือ BodyTite
- เหมาะกับการเก็บไขมันที่ยังคงมีคุณภาพดี
จุดเด่นของการดูดไขมันด้วย MicroAire PAL
- หัวดูด สั่นได้สูงถึง 4,000 ครั้งต่อนาที ช่วยให้ไขมันหลุดออกจากเนื้อเยื่อได้ง่าย
- ทำให้แพทย์ ควบคุมทิศทางได้ดีขึ้น
- เหมาะกับการดูดไขมันปริมาณเยอะ หรือในจุดที่ไขมันแน่น เช่น หน้าท้อง หลัง ต้นขา หรือหน้าอกผู้ชาย
สิ่งที่ควรรู้ไว้ก่อนตัดสินใจดูดไขมันด้วย MicroAire PAL
- PAL ไม่ได้ช่วยกระชับผิว ถ้าผิวเริ่มหย่อน ควรทำร่วมกับ BodyTite หรือ J-Plasma
- มีเสียงและแรงสั่นระหว่างทำ (ไม่เจ็บ ไม่อันตราย แต่บางคนอาจตกใจถ้าไม่รู้มาก่อน)
- ต้องใช้โดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ผลลัพธ์เรียบเนียน
ดูดไขมันด้วย BodyTite Pro
เป็นการดูดไขมันที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RFAL – Radiofrequency Assisted Liposuction) ช่วยในการสลายไขมันพร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวที่ดูดไขมันมีความกระชับขึ้น
เหมาะสำหรับคนที่อยากให้รูปร่างกระชับขึ้น โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่หรือพักฟื้นนาน ใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ช่วยให้ไขมันละลายและดูดออกง่ายขึ้น พร้อมกระตุ้นให้ผิวหดตัวทันที
จุดเด่นของการดูดไขมันด้วย BodyTite Pro
- ใช้หัวดูดแบบพิเศษที่ทำงานทั้ง “ใต้ผิว” และ “บนผิว” พร้อมกัน
- คลื่น RF ละลายไขมัน ทำให้ ดูดออกง่ายขึ้น
- พลังงาน RF กระตุ้นผิวให้กระชับ และ สร้างคอลลาเจนใหม่
- ผิวจะหดตัวทันที และค่อยๆ ดีขึ้นต่อเนื่อง 3–6 เดือน
- มีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ช่วยลดความเสี่ยงผิวไหม้
การดูดไขมันด้วย BodyTite Pro เหมาะกับใคร?
- คนที่มีไขมันเฉพาะจุด เช่น หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา คอ หรือหน้าอกผู้ชาย
- ผู้ที่มีผิวหย่อนนิดๆ และอยากให้ตึงขึ้นแบบไม่ต้องผ่าตัด
- คนที่อยากรูปร่างกระชับขึ้นโดยใช้เวลาพักฟื้นน้อย
ข้อดีของการดูดไขมันด้วย BodyTite Pro
- ดูดไขมัน และ ยกกระชับผิว ในครั้งเดียว
- แผลเล็ก เจ็บน้อย บวมช้ำน้อย
- ผิวเรียบ ไม่เป็นคลื่นหลังทำ
- ปลอดภัย ด้วยระบบควบคุมพลังงานแบบเรียลไทม์
- บางเคสให้ผลใกล้เคียงการผ่าตัดยกกระชับ แต่หายเร็วกว่าเยอะ
สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจดูดไขมันด้วย BodyTite Pro
- ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก (อาจต้องผ่าตัดแทน)
- ควรทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์เฉพาะทางด้าน RF
- อาจมีบวม ฟกช้ำ หรือรู้สึกชาเล็กน้อยหลังทำ (หายได้เองในไม่กี่วัน)
ดูดไขมันด้วย Vaser Smooth
เป็นการดูดไขมันที่ใช้ พลังงาน “คลื่นเสียงอัตราซาวด์ ความถี่สูง (Ultrasound) คลื่นเสียงสลายเซลล์ไขมันให้เป็นของเหลว แยกไขมันออกจากเนื้อเยื่อรอบๆ อย่างแม่นยำ ทำให้ดูดออกได้ง่ายขึ้น เจ็บน้อย และบวมช้ำน้อย แถมยัง ช่วยให้ผิวหดตัว ได้บางส่วน
จุดเด่นของการดูดไขมันด้วย Vaser Smooth
- ปล่อยคลื่นเสียงเข้าไปสลายไขมันให้เป็นของเหลวก่อน
- ไขมันที่สลายแล้วจะดูดออกได้ง่ายขึ้น โดยไม่ดึงเนื้อเยื่อมาก
- คลื่นเสียงยังช่วยกระตุ้นการหดตัวของผิว ทำให้ ผิวแน่นขึ้นในระดับหนึ่ง
การดูดไขมันด้วย Vaser Smooth เหมาะกับใคร?
- คนที่อยากมีหุ่นชัดๆ เช่น six-pack หรือ sexy line
- คนที่ต้องการทำ 360° liposuction รอบลำตัว
- คนที่เคยดูดไขมันมาแล้วแต่ยังไม่เรียบ (revision case)
- คนที่มีไขมันเฉพาะจุดและผิวเริ่มหย่อนเล็กน้อย
ข้อดีของการดูดไขมันด้วย Vaser Smooth
- บวมช้ำน้อย ฟื้นตัวเร็ว
- ปั้นสัดส่วนได้ละเอียด ทั้งไขมันตื้นและลึก
- ผิวมีโอกาสกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด
- เหมาะกับจุดที่ดูดยาก เช่น ต้นขา คาง หลัง หรือหน้าอกผู้ชาย
- ทำได้แม้ไขมันแน่นมาก เช่น เคสดูดซ้ำ
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการดูดไขมันด้วย Vaser Smooth
- ถ้าผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องผ่าตัดแทน
- ราคาสูงกว่าเครื่องดูดไขมันทั่วไป
- ต้องทำโดยแพทย์ที่ ชำนาญการใช้คลื่นเสียง (Ultrasound)
- ถ้าทำโดยผู้ไม่มีประสบการณ์ อาจเสี่ยงผิวไม่เรียบ หรือร้อนเกินจนไหม้
Q&A: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับดูดไขมัน
1.ดูดไขมันเจ็บมากไหม?
การดูดไขมันใช้ยาชา ซึ่งจะฉีดยาชาผสมน้ำเกลือลงในบริเวณที่จะดูดไขมัน ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างการผ่าตัด สำหรับกรณีที่ดูดไขมันปริมาณมากหรือหลายบริเวณ อาจใช้ยาสลบทั่วไป หลังผ่าตัดจะมีความเจ็บปวดระดับปานกลาง 2-3 วันแรก ซึ่งสามารถคุมได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป ความเจ็บจะลดลงเรื่อย ๆ และหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
2.ดูดไขมันจะกลับมาอ้วนไหม?
ไขมันที่ดูดออกแล้วจะไม่กลับมาซ้ำ เพราะเซลล์ไขมันที่ถูกดูดออกไปแล้วจะไม่สร้างใหม่ อย่างไรก็ตาม หากรับประทานอาหารมากเกินไปหลังการดูดไขมัน เซลล์ไขมันที่เหลืออยู่จะขยายตัว และอาจมีไขมันสะสมในบริเวณอื่นที่ไม่ได้ดูด ดังนั้นการรักษาน้ำหนักและออกกำลังกายสม่ำเสมอหลังการดูดไขมันจึงสำคัญมากสำหรับการรักษาผลลัพธ์ให้ยาวนาน
3.ดูดไขมันใช้เวลาพักฟื้นนานเท่าไหร่?
ระยะเวลาฟื้นตัวขึ้นอยู่กับปริมาณและบริเวณที่ดูด ถ้าหากการดูดไขมันเล็กน้อย (เช่น ใต้คาง) สามารถกลับไปทำงานได้ใน 2-3 วัน การดูดไขมันปริมาณปานกลาง (เช่น หน้าท้อง) ต้องพัก 5-7 วัน และการดูดไขมันปริมาณมาก (หลายบริเวณ) อาจต้องพัก 1-2 สัปดาห์ ต้องใส่เสื้อกระชับ 4-6 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 4-6 สัปดาห์ และเห็นผลลัพธ์สุดท้าย 3-6 เดือน
4.ใครที่ไม่ควรดูดไขมัน?
ผู้ที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ คนที่อ้วนมาก (BMI >35), ผู้ที่คาดหวังให้ดูดไขมันช่วยลดน้ำหนัก, ผู้ที่มีผิวหย่อนมากเกินไป, คนที่มีโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ ผู้ที่ต้องระวังพิเศษ คนที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมลูก, ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด, คนที่เพิ่งคลอดหรือลดน้ำหนักมาก, ผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมจริง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนตัดสินใจ
1.หลังดูดไขมันต้องดฝุแลตัวเองอย่างไร ผลลัพธ์คงทนไหม
การดูแลหลังผ่าตัด ใส่เสื้อกระชับตลอดเวลา 4-6 สัปดาห์แรก, นวดระบายน้ำเหลือง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์, หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ 2 สัปดาห์, ออกกำลังกายเบาๆ หลัง 2 สัปดาห์ ออกกำลังกายปกติหลัง 6 สัปดาห์ การรักษาผลลัพธ์ รักษาน้ำหนักไม่ให้เพิ่มขึ้นมากกว่า 3-5 กิโลกรัม, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, กินอาหารสมดุล ผลลัพธ์จะคงทนถาวร หากดูแลน้ำหนักได้ดี เพราะเซลล์ไขมันที่ดูดออกไปแล้วจะไม่กลับมา แต่เซลล์ที่เหลือยังสามารถขยายตัวได้หากกินมากเกินไป



















